Search

ปรัชญากฎหมายไทยในยุคธนบุรี-รัตนโกสินทร์ก่อนการปฏิร...

  • Share this:

ปรัชญากฎหมายไทยในยุคธนบุรี-รัตนโกสินทร์ก่อนการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5
(สรุปจาก จรัญ โฆษณานันท์ "ปรัชญากฎหมายไทย" มหาวิทยาลัยรามคำแหง)
ปรัชญากฎหมายไทยในยุคนี้จะกล่าวถึง ปรัชญากฎหมายสมัยกรุงธนบุรี ปรัชญากฎหมายก่อนการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 ประกอบ ปรัชญากฎหมายสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) สมัยพระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่2) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ดังนี้
1.ปรัชญากฎหมายไทยยุคธนบุรีกับแนวความคิดพุทธธรรมราชา
เมื่อพิจารณาถึงปรัชญากฎหมายในสมัยพระเจ้าตากสิน ความคติพราหมณ์และพระศาสนามีบทบาทสำคัญในจิตสำนึกของพระเจ้าตากสิน แนวคิดคติธรรมเรื่องพุทธธรรมราชา เพิ่มบทบาทและลดทอนความคิดเทวราชาลงในสมัยอยุธยาลง
เอกสารทางประวัติศาสตร์ ของบาทหลวงชาวฝรั่งเศสมีบันทึกไว้ว่า พระเจ้าตากสินทรงให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับราษฎรทั่วไป ผิดจากพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน ๆ ที่ไม่เสด็จออกให้ราษฎร์ได้เห็นพระองค์หรือไม่ทรงรับสั่งกับราษฎรด้วยเกรงว่าจะทำให้เสียพระราชอำนาจ ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับบรรดาข้าราชการบริหาร ก็ยังมีความแนบแน่นแบบพ่อกับลูกดังพระองค์ทรงนิยม ใช้คำว่า “พ่อ” แทนตัวพระองค์และทรงเรียกข้าราชใหญ่น้อยว่า “ลูก”
ข้อสังเกต นิธิ เอียงศรีวงศ์ ได้วิเคราะห์ในเรื่องของการปกครองในสมัยพระเจ้าตากสิน ใน “ระบบพ่อกับลูก” (จะมีความแตกต่างกับการปกครองแบบพ่อปกครองลูกในสมัยพ่อขุนรามคำแหงยุคสูโขทัย) ว่าสืบเนื่องแต่การพัฒนาการของการก่อตัว อำนาจรัฐใหม่ของพระองค์บนพื้นฐานของการรวมกลุ่มอำนาจ บ่อย ๆ แบบชุมชนตั้งแต่เริ่มทำการกู้เอกราชของบ้านเมือง ซึ่งตกอยู่ในภาวะจลาจลวุ่นวาย ลักษณะการรวมกลุ่มเป็นชุมนุมเพื่อผนึกกำลังกู้บ้านเมืองทำให้ความสัมพันธ์ของบุคคลในกลุ่มมีความแนบแน่นใกล้ชิดเสมือนเป็นเครือญาติกัน ราชอาณาจักรของพระเจ้าตากสินจึงดำรงอยู่บนพื้นฐานของภราดรภาพ มิใช่ความสัมพันธ์ทางอำนาจ แบบเทวราชกับสัตว์โลกดังปรากฏในสมัยอยุธยา ลักษณะการเมือง แบบชุมชนยังมีส่วนทำให้เกิดการเน้นความสำคัญของอาณาบารมีส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ในเชิงสถาบัน
การสร้างความสัมพันธ์แบบพ่อกับลูกดังกล่าวดูเหมือนสะท้อนพระสงค์ของพระเจ้าตากสิน ในการมุ่งดำรง “แบบปิตุราชา” ควบคู่กับการ “เป็นพุทธราชา” ผลกระทบที่น่าพิจารณาตามมา คือ ในแง่ของปรัชญากฎหมายคงรวมถึงการถดถอยลงในอิทธิพลของคติเทวราชาในการบัญญัติหรือการบังคับใช้กฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม การเมืองในลักษณะแบบพ่อกับลูกก็สนับสนุนการใช้อำนาจเด็ดขาดของพระมหากษัตริย์ในฐานะพ่อ หรือกลับกันก็เรียกร้องการปฏิบัติหน้าที่ด้านการเคารพเชื่อฟังโดยเต็มกำลังของประชาชนผู้อยู่ในสถานะลูกเช่นกัน กฎหมายและความศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาดจึงเป็นสิ่งคู่กัน ภายใต้บริบททางการเมืองเช่นนี้ในหลายกรณี การตัดสินความโดยเด็ดขาดพร้อมวิธีการใช้ความรุนแรงจึงเกิดขึ้นและคล้ายเป็นการใช้พระราชอำนาจที่ขัดแย้งกันในตัวเองดังที่พระองค์มีสถานะ (ภาพลักษณ์) ของพุทธ/ธรรมราชาดำรงอยู่พร้อมกัน เมื่อพิจารณาในแง่อีกมุมหนึ่ง กรณีก็เป็นไปได้มากกว่ายิ่งหากพระองค์รู้สึกถึงความเป็นพุทธ/ธรรมราชา มากเพียงใด หรือรู้สึกถึงบารมีทางธรรมส่วนพระองค์เข้มข้นเพียงใด แนวโน้มของการยึดถือเอาตัวพระองค์ว่า “ธรรมะหรือตัวพระองค์” คือ ผู้ผูกขาดการตีความธรรมะก็ยิ่งมากขึ้นเพียงนั้น การตราพระราชกำหนดกฎหมายต่าง ๆ ก็อาจหย่อนการให้ความสำคัญต่อการอ้างอิงคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ หรือโบราณราชานิติประเพณีดังที่เคยยึดถือกันมา เมื่อบวกวิถีแห่งการใช้อำนาจเด็ดขาดแบบปิตุราชา แนวโน้มของปรัชญากฎหมายที่มีลักษณะเผด็จการโดยธรรมภายใต้การตีความธรรมของบุคคลเพียงคนเดียวก็ยิ่งมีสุขยิ่งจนเป็นไปได้ที่ในทางปฏิบัติ ผลลัพธ์อาจ ไม่แตกต่างมากนักกับการใช้อำนาจทางกฎหมายภายใต้ระบบอำนาจนิยมอื่น ๆ
อย่างไรก็ตามแม้ระบบเผด็จการ (Dictator Ship)โดยธรรมภายใต้อุดมการณ์แบบพุทธราชาจะส่งเสริมการสนับสนุนการใช้อำนาจโดยเด็ดขาดทั้งทางกฎหมายและการเมือง การปฏิบัติของพระองค์ของพระมหากษัตริย์แบบพุทธราชาที่แสดงออกถึงการมุ่งมั่นต่อการบรรลุพระโพธิญาณก็อาจยังความกังขาในความรู้สึก ของบุคคลใกล้ชิด พระราชกรณียกิจในด้านธรรมะของพระองค์ ทั้งในเรื่องการบำเพ็ญทาน รักษาศีลหรือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน การถวายพระราชโอวาทแก่พระสงฆ์หรือการออกพระราชกำหนดว่าด้วยศีลสิกขาบท เป็นอาทิ สิ่งเหล่านี้ล้วนเชิดชูภาพลักษณ์ของพระองค์ในแง่ของการเป็นพุทธราชาที่มิใช่ปถุชนหรือโลกีย์ชนทั่วไป และอยู่ในระดับที่สูงส่งเกินกว่าการเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภาเยี่ยงพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งประเด็นพิพาทเรื่องพระองค์ทรงสำคัญพระองค์ว่าบรรลุโสดาบัน และตามมาด้วยคำถามว่าพระสงฆ์ที่เป็นปถุชนจะไหว้ฆาราวาสที่บรรลุโสดาบันได้หรือไม่ก็กลายเป็นชนวนหรือเงื่อนไขของการกล่าวหา พระองค์เรื่องทรงเสียพระสติ อันนำไปสู่การรัฐประหารเปลี่ยนแผ่นดินในท้ายที่สุด
2.ปรัชญากฎหมายไทยในยุครัตนโกสินทร์ก่อนการปฏิรูปการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5
แม้การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินจากยุคธนบุรีสู่ยุครัตนโกสินทร์จะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลข้ออ้างเกี่ยวกับการยึดมั่น ในอุดมการณ์พุทธราชาความเชื่อในอุดมการณ์ดังกล่าวก็หาได้พลอยถูกล้มล้างตามไปด้วยไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าตากสิน ได้รับการอธิบายให้เป็นเรื่องความบกพร่องของหลักการ จากการเป็นวีรกษัตริย์ที่กล้าหาญทางคุณธรรมในการกู้บ้านแปลงแผ่นดินขึ้นมาใหม่ หากบุพกรรมที่ตามทันก็บันดาล ให้พระองค์ทรงเปลี่ยนกลายไปเป็นพระมหากษัตริย์ที่คล้ายทมิฬหินชาติในช่วงปลายแผ่นดิน
การสืบต่ออุดมการณ์พุทธราชาหรือพระโพธิสัตว์จากยุคธนบุรีสู่ยุครัตนโกสินทร์ ดังกล่าวได้ดำเนินอยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรและหาได้จำกัดเพียงชั่วสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1) หากความเข้มข้นในการยึดมั่นอุดมการณ์ความคิดดังกล่าวอาจมีระดับแตกต่างกันตามพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ ตราบจนเมื่อแผ่นดินไทยเริ่มเข้าสู่ยุคปฏิรูป ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) กระแสความคิดใหม่ทางพระพุทธศาสนาที่มีลักษณะทางวิทยาศาสตร์มากขึ้นเข้ามาแทนที่พร้อมๆ กับการที่มหาอำนาจตะวันตกได้เข้ามาแผ่อำนาจในสังคมไทย
รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้รวบรวมกฎหมายสมัยอยุธยาที่หลงเหลืออยู่กระจัดกระจายอยู่ตามหัวเมืองสำคัญ (อาทิ นครศรีธรรมราช นครราชสีมา หรือเพชรบูรณ์ ที่ไม่ได้เสียแก่พม่าคราวเสียกรุงอยุธยา) และนำมาชำระสะสางจนเกิดเป็นกฎหมายตราสามดวง ปรัชญาหรือจิตสำนึกทางกฎหมายตลอดจนนิติวิธีทางกฎหมายแบบของอยุธยาย่อมตกทอดสืบเนื่องมาด้วยพร้อม ๆ กับเนื้อหาบทบัญญัติกฎหมายของอยุธยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคงความยึดมั่นต่อ “พระธรรมศาสตร์” ซึ่งจัดเป็นส่วนแรกสุดของกฎหมายตราสามดวงต้องถือเป็นหลักฐานอันมั่นคงที่สุดของการดำรงอยู่แห่งปรัชญากฎหมายแบบธรรมนิยมในยุครัตนโกสินทร์
เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุของการเกิดกฎหมายตราสามดวง ความคิดแบบธรรมนิยมทางกฎหมาย ก็จะสะท้อนออกมาให้เราเห็นโดยนัยเช่นกัน ใน “ประกาศพระราชปรารภ” ซึ่งแสดงที่มาแห่งกฎหมายตราสามดวง ในกรณีข้อพิพาทคดีฟ้องหย่า กล่าวคือ นายบุญศรีร้องทุกข์ต่อในหลวงรัชกาลที่ 1 ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการตัดสินคดีฟ้องหย่า โดยที่ อำแดงป้อมภรรยานายบุญศรี นอกใจทำชู้ แล้วมาฟ้องหย่าจากนายบุญศรี ศาลหลวงยังมาพิพากษาให้อำแดงป้อมชนะคดี ฟ้องหย่าได้โดยอาศัยหลักกฎหมายเก่าที่ว่า “ชายหาผิดมิได้ หญิงขอหย่า ท่านว่าเป็นหญิงหย่าชาย หย่าได้” ในหลวงรัชกาลที่ 1 ทรงเห็นด้วยกับร้องทุกข์ โดยตรัสว่า “หญิงนอกใจชายแล้วมาฟ้องหย่าชายลูกขุนปรึกษาให้หย่ากันนั้นหาเป็นยุติธรรมไม่” ต่อจึงมีพระบรมราชโองการให้ตรวจสอบกฎหมายที่ใช้ในการตัดสินก็ปรากฏว่า บทกฎหมายเป็นไปดังที่ศาลหลวงใช้ในการตัดสินเช่นนั้นจริง ๆ
ประเด็นที่น่าวิเคราะห์ ก็คือสถานการณ์ที่พระราชวินิจฉัย เรื่องความยุติธรรมของพระมหากษัตริย์เกิดขัดแย้งกับตัวบทกฎหมาย เพราะหากถือเอาทฤษฎีอำนาจเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย พระองค์ทรงปฏิเสธและมองข้ามกฎหมายนั้น ๆ ได้โดยสิ้นเชิง แต่หากเนื่องจากโดยโบราณราชนิติถือเอาธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมายจึงทำให้เกิดข้อกังขาในสภาพความสมบูรณ์ถูกต้องและความชอบธรรมของตัวบทกฎหมายดังกล่าว ค่าที่ถือเอากฎหมายเป็นเรื่องธรรมะหรือความถูกต้องที่โบราณราชกษัตริย์บัญญัติขึ้นตามหลักพระธรรมศาสตร์ ประเด็นความบกพร่อง ในตัวกฎหมายเช่นกล่าวจึงได้รับการให้เหตุผลว่า หาใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เราไม่ หากเป็นกฎที่ “ฟั่นเฟือนวิปริต” ขึ้นในภายหลังท่าทีของ รัชกาลที่1 ต่อบทบัญญัติกฎหมายเก่าที่พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วย
ในทรรศนะของร. แลงกาต์ (R. Lingat) เห็นว่า ในทางทฤษฎีแล้ว “พระมหากษัตริย์ไม่อาจร่างกฎหมายด้วยพระองค์เอง” พระองค์ต้องทรงแสร้งชำระแม่บทกฎหมายเพื่อแก้ไขบัญญัติกฎหมายที่จำเป็นให้สอดคล้องกับความคิดทางสังคมและศีลธรรมที่เปลี่ยนแปลงไป หากการยกเลิกกฎหมายโบราณเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ทรงทำได้ในความเป็นจริงอำนาจในการบัญญัติกฎหมายก็คงเป็นไปในลักษณะเดียวกัน แม้ว่าในทางทฤษฎีหรือปรัชญากฎหมายของบ้านเมืองจะมีกรอบจำกัดหรือควบคุมการใช้พระราชอำนาจทางกฎหมายอยู่ก็ตาม ในท้ายที่สุดช่องว่างหรือความลักลั่นในทางทฤษฎีและปฏิบัติข้างต้นจะปรากฏมากเพียงใดก็คงแปรผันไปตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ อันรวมทั้งความเข้มแข็งในทางอำนาจบารมีทั้งทางคุณธรรมส่วนพระองค์และทางการเมือง
กฎหมายตราสามดวงที่ชำระขึ้นมาใหม่ จะมีลักษณะยืนยันความเป็นสมมุติเทวดา (สมมุติเทพ) ของพระมหากษัตริย์ดังคำกล่าวที่ว่า พระราชโองการด้วยกิจสิ่งใดมีอนุภาพดุจดังขวานฟ้าที่ทรงอภินิหาร หากความยึดมั่นเชื่อถือในกฎหมายนี้กลับไม่ปรากฏชัดเจนในรัชสมัยของ รัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นผู้โปรดให้ชำระรวบรวมกฎหมายเก่าของอยุธยาที่ยังหลงเหลืออยู่โดยเฉพาะในช่วงต้น ๆ รัชกาล พระพุทธนิยมซึ่ง รัชกาลที่ 1โปรดให้รื้อฟื้นขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างจริงจัง ความสนพระทัยอย่างมากในพระพุทธศาสนาของ รัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์มุ่งหนักไปด้านสติปัญญา อันอาจถือเป็นปฏิกิริยาที่ทรงปฏิบัติให้ต้านกับการประพฤติปฏิบัติของพระเจ้าตากสิน พระราชกรณียกิจทางด้านศาสนาของพระองค์มีปรากฏให้เห็นประจักษ์หลาย ๆ ด้าน อาทิ การสังคายนาพระไตรปิฎก การโปรดให้แต่งไตรภูมิโลกวินิจฉัยหรือการสร้างวัดวาอารามต่าง ๆ จุดยืนอันมั่นคงในการยึดมั่นพระพุทธศาสนาได้มีส่วนเข้ามามีบทบาทกำหนดความเคลื่อนไหวทางด้านกฎหมาย ที่น่าสนใจหลาย ๆ เรื่องในรัชสมัยของพระองค์ (รัชกาลที่ 1) ล้วนสะท้อนอุดมการณ์พุทธราชาของพระองค์ ความข้อนี้อาจพิจารณาได้จากบทบัญญัติหลาย ๆ ตอน ใน “พระราชกำหนดใหม่” อาทิ เช่น
1.การห้ามมิให้นับถือพระภูมิเจ้าที่ เทพารักษ์ ยิ่งกว่าพระไตรสรณาคม (พระรัตนตรัย)
ห้ามมิให้ฆ่าสัตว์เพื่อพลีบูชาพระภูมิ ผีสางต่าง ๆ เหตุผลก็เพื่อให้ประชาชนยึดมั่นในพระรัตนตรัยแทนที่จะไปฝากความหวังไว้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะของความงมงายเป็นการกระทำซึ่งมีที่มาจากคนพาลกักฬะ เพื่อเยาะเย้ยหญิงแม่มด อันมีมารยาทและคนรุ่นหลังที่ไม่รู้งมงายถือปฏิบัติ
2.พระราชโอวาทกำหนดให้ขุนนางใหญ่น้อยและประชาชนทั่วไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
โดยการประพฤติปฏิบัติตนตั้งอยู่ใน “ทศกุศลกรรมบถ” ซึ่งถือเป็น “วิไนยฆราวาษ” ตลอดจนบำเพ็ญทานรักษาศีลต่าง ๆ กฎหมายฉบับนี้ตราขึ้น พ.ศ. 2325
3.การเปลี่ยนแปลงพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา โดยให้ขุนนางใหญ่น้อยกระทำการเคารพ
บูชาพระรัตนตรัย เป็นเบื้องแรก แทนที่ประเพณีเดิมที่เริ่มจากการให้เคารพนับถือพระเชษฐบิดรหรือพระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ เหตุผลที่ที่ออกกฎหมายแก้ไขธรรมเนียมปฏิบัติด้าน การแสดงความเคารพก็เพราะเห็นว่าธรรมเนียมปฏิบัติเดิมไม่ถูกต้องที่ให้ความสำคัญต่อพระพุทธรูป พระมหากษัตริย์สูงกว่าพระรัตนตรัยถือเป็นมัจฉาทิษฐิ สร้างความหม่นหมองต่อพระไตรสรณะคม เมื่อพิจารณาโดยสาระแล้ว การบัญญัติกฎหมายนี้ย่อมจัดเป็นการรับรองฐานะของธรรมะหรือสัญลักษณ์แห่งธรรมะให้อยู่สูงกว่ารัฐหรือ
องค์รัฐาธิปัตย์
อย่างไรก็ตาม มีปรัชญากฎหมายไทยที่แสดงออกจากกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 โดยตรงจะมีลักษณะพุทธนิยมอย่างสูง ถึงขนาดมีอิทธิพลต่อการตรากฎหมายบังคับให้ประชาชนถือศีล 5 หรือยึดมั่น “ทศกุศลกรรมบท”
ข้อสังเกต ต่อเรื่องความจริงจังหรือความสืบเนื่องในอิทธิพลความคิดแบบพุทธนิยม ในปรัชญากฎหมายในสมัยรัชกาลที่ 1 ก็ดูยังเป็นปัญหาอยู่ 3 ประการ คือ
ประการแรก โทษประหารชีวิตหรือโทษถึงตายยังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในกฎหมายบางบทในพระราชกำหนดใหม่อยู่ทั้ง ๆ ที่มีกฎหมายย้ำความสำคัญของศีลข้อปาณาติมาต ทั้งนี้คงมิพักต้องกล่าวถึงกฎหมาย อันมีบทลงโทษอันรุนแรงต่าง ๆ สมัยอยุธยาที่ไม่ได้ถูกชำระสะสางยกเลิกไปแต่อย่างใดในรัชกาลนี้
ประการที่สอง ถึงแม้จะมีกฎหมายบางฉบับเกี่ยวข้องกับการห้ามมิให้เล่นการพนันหลาย ๆ ชนิด เช่นการชนไก่ ชนนก กัดปลา พร้อมเหตุผลสนับสนุนในแง่หลักธรรมศาสนา หากจริง ๆ แล้วก็ยังมีกฎหมายรับรองให้มีการเล่นการพนันตามโรงบ่อนเบี้ยอยู่อันถือเป็นแหล่งรายได้ของแผ่นดินจากค่าอากรบ่อนเบี้ย
ประการที่สาม การเน้นความสำคัญของพุทธธรรมในกฎหมายอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายที่มีลักษณะบังคับประชาชนให้ปฏิบัติธรรม แม้ตัวกฎหมายจะไม่ได้บัญญัติบทลงโทษอันชัดเจน แต่ก็เป็นเรื่องน่าคิดอยู่มากว่า การใช้อำนาจรัฐข่มขู่บังคับผู้คนให้ถือศีลปฏิบัติธรรมจะเป็นความสอดคล้องชอบด้วยหลักแห่ง เมตตาธรรม อุดมคติของพระโพธิสัตว์ กระนั้นหรือ การใช้ศาสตร์กำกับการถือศีลภาวนาดู ๆ แล้วไม่น่าจะเป็นวิถีแห่งพระมหากษัตริย์ที่ยึดถือในอุดมคติพระโพธิสัตว์
ดังนั้นเมื่อสรุปรวมความแล้วปรัชญากฎหมายไทยสมัยรัชกาลที่ 1 แม้เป็นปรัชญากฎหมายแบบธรรมนิยม แต่ก็เป็นธรรมะที่ยังมีการผสมผสานระหว่างคติความคิดแบบพุทธ พราหมณ์และภูติผีไสยศาสตร์ เพียงแต่สัดส่วนการผสมผสานเปลี่ยนไปในทางเน้นความสำคัญของพุทธธรรมแบบบริสุทธิ์หรือมนุษย์นิยมมากขึ้น ขณะเดียวกันผลสืบเนื่องที่พุทธธรรมนิยมได้เข้ามามีบทบาทต่อความคิดและการกระทำของผู้นำรัฐอย่างจริงจังมากขึ้น
หลังยุคสมัยของ รัชกาลที่1 กระแสสูงของปรัชญากฎหมายแบบพุทธธรรมนิยมคงได้รับการสืบเนื่องในแผ่นดินต่อ ๆ มาของต้นราชวงศ์จักรีวงศ์ แม้ความจำเป็นทางการเมืองในการสร้างความชอบธรรมโดยอาศัยหลักยพุทธธรรมจะลดน้อยลง โดยเปรียบเทียบจากผลงานของรัชกาลที่ 1
ส่วนในช่วงแผ่นดินของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ได้มีการตรากฎหมายขึ้นมาใหม่ไม่กี่ฉบับ แต่กฎหมายหลายฉบับที่ตราขึ้นก็มีการให้เหตุผลแบบพุทธธรรมดังที่ปฏิบัติมาแต่ก่อน อาทิ
1.กฎหมายห้ามมิให้ซื้อฝิ่นขายฝิ่น พ.ศ. 2534 โดยมีคำอธิบายถึงเจตนาที่มุ่งช่วย
สงเคราะห์สรรพสัตว์ไม่ให้ตกสู่อบายภูมิตามบุราณราชประเพณี บทลงโทษของกฎหมายยังกล่าวรวมถึงการตกนรก เป็นเปรต (แม้กระนั้นก็ยังมีผู้ฝ่าฝืนกระทำผิด )
2.กฎหมายห้ามมิให้เลี้ยงไก่ นก ปลา ไว้ชนและกัดเล่นการพนัน พ.ศ.2354 ตราขึ้นเพื่อ
มิให้ประชาชนทำบาปกรรมและเกิดโลภในทรัพย์เพราะการเล่นการพนัน นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2357 ก็มีการตรากฎหมายอีกฉบับห้ามมิให้เล่นการพนันบางประเภท คือ เด็ดปิล แทงห่วง กอบข้าวสาร เรียงเนื้อ ผู้ผูกสายย่าม ทายอึ่ง ทายปลาไหล ทายกลีบมังคุด รูดไม้คมพัด เสือนอนกิน ส่วนการพนันอย่างอื่นยังอนุโลมให้เล่นได้ กฎหมายกำหนดเงื่อนเพียง “ให้เล่นแต่โดยซื่อตรง ห้ามอย่าให้เล่นฉ้อโกงโกหก“
3.กฎหมายที่สำคัญอีกในสมัยรัชกาลที่ 2 คือประกาศยกเลิกประเพณีการยิงกระสุนใส่ตา
ราษฎรที่มองหน้าพระมหากษัตริย์ในระหว่างทางเสด็จพระราชดำเนิน มูลเหตุแห่งการออกกฎหมายนี้ก็สืบแต่มีผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนร้องทุกข์ต่อรัชกาลที่ 2 ขณะเสด็จกลับการทอดกฐินว่าตนถูกเจ้าพนักงานชายใช้กระสุนยิงจนตาบอด พระองค์ได้ทราบเกิดสลดพระทัย พระราชทานทรัพย์สงเคราะห์หญิงเคราะห์ร้ายนั้น ต่อมาภายหลังจึงทรงมีพระราชบัญญัติห้ามมิให้พนักงานยิงกระสุนใส่ราษฎรอีกต่อไป ซึ่งเป็นการสะท้อนพระเมตตากรุณาของพระมหากษัตริย์ตามแนวแห่งพระโพธิสัตว์ แนวโน้มของปรัชญากฎหมายแบบพุทธธรรมนิยมคงปรากฏสืบเนื่อง แม้เมื่อสิ้นรัชสมัยของ (รัชกาลที่ 2)
สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ในฐานะโอรสองค์โตได้สืบทอดประเพณีความคิดทางปรัชญาโดยไม่เปลี่ยนแปลง ยึดมั่นในคติความคิดเรื่อง “โพธิญาณ”หรือการบำเพ็ญบารมีของพระมหากษัตริย์ก็คงได้รับการยอมรับอย่างแข็งขันในรัชกาลนี้ สืบแต่อิทธิพลความคิดแบบพุทธราชาเช่นกล่าวในรัชกาลที่ 3 จึงได้มีการตรากฎหมายเลิกอากรค่าน้ำและอากรไข่จันละเม็ด (ไข่เต่าตะนุ) ด้วยเหตุทรงเห็นว่าเป็นอากรที่ส่งเสริมให้คนจับปลาหรือจับตัวเต่ามากันมากกลายเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนทำบาปทำกรรมต่อสัตว์ กฎหมายในลักษณะนี้จึงเป็นสิ่งสะท้อนอิทธิพลของปรัชญากฎหมายแบบพุทธธรรมนิยมอย่างชัดเจน การยึดถือธรรมเป็นใหญ่ในการใช้อำนาจยังแสดงออกในตัวกฎหมายอีกฉบับอาทิเช่น กฎหมายค่านา พ.ศ.2367 ยกเลิกการบังคับซื้อข้าวจากราษฎรในราคาถูก ซึ่งเปิดช่องให้ข้าราชการคดโกงฉ้อฉลเงินหลวงได้ด้วยพร้อมกับการคดโกงของเจ้าหน้าที่ ข้อสำคัญกฎหมายยังเลิกอภิสิทธิ์ของข้าราชการซึ่งแต่เดิมที่นาของข้าราชการไม่ต้องเสียค่านาแต่อย่างใดพระองค์ทรงเห็นว่าเป็นการ “ไม่เสมอเป็นยุติธรรม”
ข้อสังเกต สิ่งที่น่าสนใจก็คือแนวคิดเรื่องความยุติธรรมเชิงความเสมอภาค (Justice as Equality) ดูจะปรากฏให้เห็นชัดเจนแต่คงเป็นความเข้าใจผิดหากจะไปไกลถึงขนาดนำเรื่องการแพร่ขยายอิทธิพลของแนวคิดตะวันตกหรือแนวคิดสมัยใหม่เข้ามาในขณะนั้น เรื่องความยุติธรรมเชิงความเสมอภาค ความจริงแล้วหากศึกษาพิจารณาให้ดี หลักธรรมเรื่องความเสมอภาคมีปรากฏอยู่ในพระธรรมศาสตร์หรือหลัก
อินทภาษ แม้แต่ไตรภูมิพระร่วงของพระยาลิไทยก็เช่นกัน ธรรมข้อหนึ่งพญามหาจักรพรรดิราชทรงสั่งสอนท้าวพระยาทั้งหลายก็คือ การรักประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองอย่างเสมอหน้ากัน “อย่าได้เลือกที่รักอย่าได้มักที่ชัง และรักเขาจงเสมอกันและ….”
แต่อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติการยึดมั่นในหลักธรรมเรื่องความเสมอภาคของผู้ปกครองก็อาจไม่แน่นอนแปรไปตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับผู้ปกครองผู้มีบุคลิกลักษณะเคร่งครัดในศีล ในธรรม หลักธรรมดังกล่าวก็ย่อมมีโอกาสปรากฏให้เห็นชัด ดังนั้นประเด็นเรื่อง “ความสม่ำเสมอ” ในการปรากฏตัวก็คงต้องแยกพิจารณาอย่างระมัดระวังเช่นกัน
นอกจากการเชิดชูหลักธรรมเรื่องความเสมอภาค ในยุคสมัยนี้กฎหมายอาญายังยืนยันในหลักความสามัคคีหรือความรับผิดร่วมของชุมชน (Collective Responsibility) ในการปราบปรามโจรผู้ร้าย จากกรณี “การตรากฎหมาย โจรห้าเส้น” ขึ้นมาใช้บังคับ ใน พ.ศ 2380 กำหนดให้เพื่อนบ้านเรือนเคียงที่อยู่ในรัศมีห้าเส้นจากจุดเหตุร้ายมีหน้าที่ต้องร่วมมือช่วยเหลือกันถ้าไม่ปฏิบัติหรือช่วยเหลือต้องรับผิดร่วมกัน ความจริงหลักการของกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่เป็นของใหม่ เพียงแต่นำหลักการจากกฎหมายเดิมในสมัยอยุธยาที่เรียกกันว่า “กฎหมายสามเส้นสิบห้าวา” (พระไอยการลักษณะโจร บทที่114) มาขยายขอบเขตความรับผิดชอบ
3.การปฏิรูปบ้านเมืองและผลกระทบต่อปรัชญากฎหมายไทย (แบบดั้งเดิม)
ด้วยภายหลังการปฏิรูปสังคมครั้งใหญ่นับเริ่มแต่สมัยพระบาทสเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุผลผลักดัน การปฏิรูปบ้านเมืองของเรา โดยพื้นฐานสืบโยงจากเงื่อนไขภายนอก คือ การแพร่อิทธิพลของมหาอำนาจตะวันตกเข้ามายังประเทศไทยและแน่นอนที่คุณสมบัติหรือพระปรีชาสามารถส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ก็มีอิทธิพลอย่างมาก คงนับเป็นบารมีของบ้านเมือง เมื่อรัชกาลที่4 ขึ้นครองราชย์ ค่าที่พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์สมัยใหม่ที่เป็นทั้งนักปราชญ์และนักปฏิรูปซึ่งมีพระเนตรยาวไกล การเผชิญหน้ากับตะวันตกจึงเป็นไปอย่างมีสติ
อิทธิพลของตะวันตกในรูปความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่และ กระแสการปฏิรูปความคิดทางพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยม ซึ่งเน้นเรื่องเหตุผล ความจริงเชิงประจักษ์ ความเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ต่อวิถีทางแห่งพุทธ ขณะเดียวกันที่เน้นความเคร่งครัดในพระวินัยการกลับไปหาความบริสุทธิ์แห่งหลักธรรมที่เนื้อหาของพระไตรปิฎก พร้อมกับการปฏิเสธเรื่องโชคลางหรืออภินิหารต่าง ๆ อันปรากฏเป็นข้อบกพร่องให้เห็นในหมู่คณะสงฆ์ (เราพึงสังเกต รัชกาลที่ 4 ก่อนที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงได้ผนวชเป็นพระอยู่หลายพรรษาได้ซึมซับหลักคิดในพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทำให้พระองค์เข้าใจหลักวิธีคิดที่เจริญก้าวหน้าทางวิทยาการสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี)
เมื่อดึงเอาแนวคิดใหม่ข้างต้นมาเชื่อมโยงกับการตีความปรัชญากฎหมาย ตัวอย่างการอธิบาย ฝนแล้งฝนตกในแง่มุมวิทยาศาสตร์และผลกระทบต่อจักรวาลวิทยาเชิงพุทธย่อมหมายถึง ความสั่นคลอนในความเชื่อเก่าเรื่องเอกภาพหรือความสัมพันธ์ของอำนาจรัฐ กฎหมายและกฎเกณฑ์ธรรมชาติ กฎหมายที่เป็นส่วนหนึ่งของการใช้อำนาจรัฐเริ่มเป็นอิสระจาก (ความเชื่อเรื่อง) กฎเกณฑ์ธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม การแยกระหว่างกฎหมายกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติน่าจะเป็นการแยกห่างจากกฎเกณฑ์ธรรมชาติในความหมาย เชิงอภิปรัชญาซึ่งประกอบด้วยความรู้เชิงจักรวาลวิทยาที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากกว่าจะเป็นการแยกห่างทีเดียวของกฎหมายกับกฎเกณฑ์ธรรมชาติในแง่ที่เป็นธรรมะในความหมายอย่างกว้าง
ผลสืบเนื่องที่สำคัญคือยุคสมัยนี้เอง ความคิดทางกฎหมายของไทยได้เปลี่ยนไปเน้นการกำเนิดของกฎหมายโดยถือเอาความยุติธรรมหรือความจำเป็นในการตอบสนองความต้องการอย่างใหม่ของชุมชน แทนข้อบัญญัติแห่งพระธรรมศาสตร์ พระมหากษัตริย์ในยุคนี้จึงเริ่มทรงใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายโดยแท้จริง
ขณะเดียวกันภาวะการกลับคืนสู่แก่นแท้อันบริสุทธิ์ของพุทธศาสนาแบบมนุษยนิยม ทำให้เกิดการยอมรับในสิทธิเสรีของประชาชนแพร่หลายขึ้น ตัวอย่างเช่น
1. การที่รัชกาลที่ 4 ทรงร่วมถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาร่วมกับเชื้อพระวงศ์และข้าราชการ เพื่อเป็นการรักษาความสุจริตต่อกันทั้งหลาย การยอมรับการถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาย่อมเสมือนหนึ่งการร่วมทำ
“สัญญาประชาคม” (Social Contract) ตามนัยแห่งความคิดตะวันตกโดยเป็นสัญญาประชาคมสองฝ่าย ดังประจักษ์ชัดจากคำประกาศของพระองค์ “ ก็การซื่อสัตย์ สุจริตของ ฯข้าฯ และรักษายุติธรรมในท่านทั้งหลายทั้งปวงนั้น ท่านทั้งปวงจะได้ทราบความเป็นจริง ด้วยการที่ ฯข้าฯ รับน้ำพระพิพัฒน์สัตยาปีละสองครั้งมิได้ขาดคือสำแดง ปฏิญญาว่า ฯข้า ฯ ไม่ประทุษร้ายแก่ท่านผู้หาความผิดมิได้และไม่พะโลโสคลุมด้วย การไม่ตรงแก่ท่านผู้หนึ่งผู้ใดเลย…..”
2. การยอมรับสิทธิในที่ดินของราษฎร โดยการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาที่ดิน พ.ศ. 2391 กำหนดให้พระมหากษัตริย์ชื้อหรือชดใช้ราคาที่ดินแก่ราษฎรตามลักษณะที่ดิน
3. การยอมรับต่อสิทธิสตรีเพิ่มขึ้น เช่นการล้มเลิกพระราชอำนาจในการยกผู้หญิงฝ่ายในให้แก่เชื้อพระวงศ์หรือขุนนางที่มีความดีความชอบ เป็นต้น
4.การเปิดกว้างในเสรีภาพด้านการนับถือศาสนา
ฯลฯ
จุดเปลี่ยนโค้งอันสำคัญของสังคมไทยปรากฏชัดเจนในปี พ.ศ. 2398 เมื่อกลุ่มก้าวหน้าไทยจำยอมประนีประนอมทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง (Boring Treaty) กับอังกฤษ ซึ่งทำให้ทำประเทศไทยเรา “สูญเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทางศาล” สืบเนื่องมาจากฝ่ายตะวันตกมองว่ากฎหมายไทยล้าหลัง ทารุณโหดร้ายควบคู่กับระบบศาลที่ไร้คุณธรรมอันแท้จริง หลังจากการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งแล้วประเทศตะวันตกต่าง ๆ ก็เข้ามาทำสัญญากับไทย 15 ประเทศ รวมประมาณ 300 กว่าฉบับ


Tags:

About author
not provided
ปัจุบัน พ้นจากการโมฆะบุรุษ รองศาสตราจารย์ประจำ คณะนิติศาสตร์
View all posts